เคยคิดกันไหมว่า
แบรนด์แอม, พรีเซนเตอร์, อินฟูเอนเซอร์, เคโอแอล, รีวิวเอง จ้างคนมารีวิว, สร้างคอนเทนท์, ไลฟ์สด จะขายของออนไลน์อย่างไรดีในปี 2564 ที่ตลาดออนไลน์จะเดือดอย่างไม่เคยมีมาก่อน
หลังจากเกิดวิบากโควิท 19 ทำให้ถนนทุกทิศทุกทางวิ่งเข้ามาตลาดออนไลน์อย่างบ้าคลั่งและรวดเร็วปานสายฟ้าทำให้เกิดมีการผลิตเนื้อหาต่างๆกันมากมาย ดีบ้างไม่ดีบ้าง อยู่รอดบ้าง อยู่ไม่รอดบ้าง เหนื่อยตายไปบ้างก็มี ทำแล้วเจ็งหาสปอนเซอร์ไม่ได้ เลิกทำไปก็เยอะ
ในทางกลับกันเจ้าของแบรนด์บางคนจ้าง พรีเซนเตอร์สินค้ามารีวิว แต่ยอดขายไม่ขึ้นๆทั้งที่มีคน ฟอล เยอะแยะ แต่กลับขายไม่ได้ หรือบางเจ้าลงทุนไปจัด อีเว้นท์ จ้างพริตตี้มหาศาลแต่ยอดฟุบ เป็นเพราะอะไร?
แต่บางคนไม่มีแบรนด์พรีเซนเตอร์ แต่ยอดกลับพุ่ง เงินท่วมตัว ส่งของไม่ทัน เป็นเพราะอะไร?
ผมตอบได้เลยว่า ส่วนใหญ่ใช้เครื่องมือไม่ถูกต้อง หรือโหมใช้เครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งเกินไป หรือไปเห็นกลยุทธ์ แบรนด์ทุนหนา แล้วมั่นใจก๊อปเอามาปรับใช้ อยากได้ดาราดังๆ มาพร้อมๆกันแบบไม่อั้น แต่เงินไม่หนาพอก็ โยนเงินทิ้งน้ำตามระเบียบ
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ยุคนี้เป็นยุคที่ความฝันที่จะผันตัวจากยาจกยกระดับไปสู่เจ้าสัว ตามแบบไอดอลของเรานั้นจะยากขึ้นๆไปเรื่อยๆ จนการปั้นแบรนด์ให้เป็นแบรนด์ที่ ป๊อบปูล่า ค้างฟ้า นั้นบอกเลยเป็นไปแทบจะไม่ได้ ดังนั้นต้องปรับความคิดใหม่ถึงจะมีโอกาศ
ที่เป็นแบบนี้เพราะ “ความต้องการมีพลวัตร” สูงขึ้น หรือมี Dynamic of demand สูง ฟังแล้วงง พูดง่ายๆ คนสมัยนี้เบื่อเร็ว ไม่ยึดติดกับแบรนด์ ต้องการอะไรที่ตอบสนองความต้องการอย่างสูงสุด ที่สำคัญคือจะเอาเดี๋ยวนี้ ไม่ชอบรอ เชื่อคนยากขึ้น ต้องมีรีวิวดีๆเยอะๆ
แล้วนักการตลาดหน้าใหม่ หรือหากเราจะเปิดตัวสินค้าใหม่ หรือเราจะเป็นนักรีวิว หน้าใหม่ จะแทรกตัวเองเข้ามาในตลาดออนไลน์ และอยู่รอด เอาตัวรอดได้อย่างไร มนุษย์กลยุทธมี แนวทางมาบอกให้ครับ
ถ้าคุณเป็น แบรนด์หน้าใหม่ ทุนไม่สูง ยอดขายพอไปได้ หรือเริ่มเตาะแตะเอง เริ่มขายจากช่องทาง “ออร์แกนนิค” (อันนี้ไม่ใช่ปลอดสารพิษ แต่แปลว่า ญาติพี่น้อง เพื่อน หรือคนใกล้ชิด)แล้ว นอกจากให้ลูกค้าที่รักของคุณช่วย รีวิวให้ และช่วยกดไลค์เพจแล้ว ก็ต้องลองเปิดตลาดที่ไม่ใช่ตลาด ออร์แกนนิค (ไม่ใช่ปลอดสารพิษ แต่แปลว่าคนที่คุณไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว) ด้วยการหาข้อมูลว่า คนที่เขาชื่นชอบ และซื้อสินค้าของเรานั้น อายุเท่าไหร่ ผู้ชายหรือผู้หญิงมากกว่ากัน เขาอยู่แถวไหน ทำอาชีพอะไร เขาชอบเพราะอะไร อันนี้เรียกทำ การวิเคราะห์ตลาด ให้ตลาดเล็กแค่ไหนก็ต้องทำ แล้วไปหาเครื่องมือที่เรียกว่า KOL หรือ Key Opinion Leaders คนพวกนี้จะไม่ใช่นักรีวิวสินค้า แบบที่จ้างรีวิวแบบที่ให้ความรู้สึกปลอมๆ แต่เป็นคนที่ใช้จริง และคนเหล่านี้จะสร้างเนื้อหาที่เน้นไปที่การสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเขา
เพื่อความประหยัดเวลาในการอ่าน ผมจะแนะนำทั้งสองขาคือทั้งตัวเจ้าของสินค้า และนักรีวิวที่อยากเป็น KOLs ไปพร้อมๆกันตัวอย่างเช่น นักรีวิวอาหารที่ขึ้นชื่อรีวิวเฉพาะอาหารแปลกจริงๆ ถ้าอาหารคุณแปลก คุณต้องพุ่งไปหาเชิญ หรือจ้าง นักรีวิวคนนั้นมา รีวิวอาหารคุณให้ได้ และที่สำคัญอาหารของคุณต้องแปลกจริง ต้องโดดเด่น ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่มาเพราะในอีกทางหนึ่ง มาตรฐานของ KOLs ก็จะตกกระป๋องรีวิวอะไรก็ไม่ขึ้นอีกต่อไป
โดย KOLs ที่เป็น influencer ที่จะได้ผลดีนั้นจะมียอด follwer ส่วนใหญ่อยู่ที่ 50,000 - 100,000 คน สาเหตุเพราะ ฐานคนติดตามในระดับนี้จะเป็นกลุ่มที่มีความเหนียวแน่น เชื่อมั่น ไม่มากจนเกิดความหลากหลายทางความต้องการเกินไป หรือพูดง่ายๆ ถ้าคนเยอะมากจะเข้าถึงทุกคนได้ไม่หมด เพราะมันหลากหลาย การก่อตัวของยอดขายก็จะเกิดยากครับ
ในขาของ KOLs นั้นใครที่คิดจะเอาดีในการเป็น KOLs นั้นต้องพึงระลึกไว้เลยว่า คุณไม่ใช่นักรีวิวสินค้าแต่เพียงอย่างเดียว คุณไม่ได้อยู่ฝั่งสินค้าแต่คุณอยู่ฝั่งเดียวกับคนที่เขาติดตามคุณ ดังนั้นอย่ารีวิวอะไรที่ปลอมและคุณไม่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เพราะถ้าหากคุณเสียคนที่ติดตาคุณไปแล้วไซร้ สถาณะKOLs ของคุณก็จะหายไปด้วยเหมือนกัน.
KOLs ต้องจำไว้เลยว่า สถานะของคุณคือคนทำเนื้อหาครับ เปรียบเสมือนเป็นเชฟทำอาหาร ถ้าเนื้อหาของคุณมีแต่น้ำ ไม่มีเนื้อหาให้คนติดตามเลย ภาระของ KOLs นั้นหนักมากนะครับเพราะต้อง เลี้ยงกระแสให้ติด พูดง่ายๆก็คือต้องคอยหาเรื่องราว มาเอาใจลูกเพจตลอดเวลา
คราวนี้มาถึงการเป็นเจ้าของสินค้าเอง และจะเป็นคนรีวิวสินค้าเอง ออกมาขายกันแบบ Hard Sale นั้นทำได้ไหม คำตอบก็คือทำได้ครับ แต่ต่อไปคุณจะต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้ครับ
1. คุณต้องรู้ว่า คนที่เขามาติดตามดูคุณในไลฟ์สดขายของ เขามาดูอะไรกันแน่?
แน่นอนเขาดูสินค้า แต่นอกจากสินค้าเขาสนใจอะไรในการไลฟ์ของคุณ เช่น หน้าตา รูปร่าง เรื่องเล่า หรืออะไร? และคุณต้องพัฒนา มีอะไรเล่นกับสิ่งที่เขาชอบ และเข้ามาดูคุณให้ได้
2. มุขต้องไม่ซ้ำ
ถ้าคุณทำแบบเดิมๆ ซ้ำๆกันตลอดเวลา คนที่เขารอคุณจะเบื่อ ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณชอบลากยาวกว่าจะปิดการขาย ทำแบบนั้นเป็นประจำ ลูกค้าก็จะจับแนวคุณได้ และบางทีเขาอาจจะเปลี่ยนใจ เพราะการตัดสินใจซื้อ ส่วนใหญ่มาจากการที่ ผู้ซื้อกลัวพลาดซื้อของถูก ถ้าคุณยิ่งขายไปเรื่อยๆ ยิ่งถูกลง ลูกค้าคุณก็จะซื้อยากขึ้นตามลำดับ
3. เนื้อหาต้องมี และต้องรู้จริงๆ
คุณต้องรู้สินค้าและสามารถให้ความรู้กับลูกค้าคุณได้อย่างจริงจัง ถ้าข้อมูลของคุณไม่แน่น หรือไม่แม่นแล้วล่ะก็หายนะอาจจะมาเยือนได้ เพราะการซื้อของออนไลน์นั้น เน้นไปที่ “ความเชื่อมั่น และศรัทธา” เป็นหลักและข้อมูลต่างๆนั้นไหลไปมาอย่างรวดเร็ว ลูกค้าเปลี่ยนใจเร็ว เปลี่ยนเจ้าเร็ว ท่องไว้เลยนะครับ
4. หยาบคายมากไม่เป็นตัวแทนความจริงใจอีกต่อไป
ยุคที่ผ่านมาการขายของต้องหยาบๆหน่อย ถึงจะดูจริงใจและดึงดูดลูกค้าเพราะมันเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้น แต่ต่อมาเกือบทุกคนหยาบกันหมด มันเลยเกิดอาการ เฝือ และคนเริ่มปฏิเสธความหยาบคาย ไม่ง้อและด่าลูกค้า ทำให้ลูกค้าเสียความรู้สึก
5. บรรยากาศ Retro
เนื่องจากสถาณการณ์ทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ รวมถึงการแพร่ระบาดของ Covid-19 สร้างความเครียดให้ลูกค้า ดังนั้นถ้าคุณสามารถสร้างบรรยากาศที่ย้อนกลับไป หรือทำให้ลูกค้าคุณรู้สึกเหมือนได้กลับไป หรือได้อยู่ในบรรยากาศในสมัยที่บ้านดีเมืองดี ทุกคนไม่เครียด อยู่กันอย่างสุขสบาย จะช่วยให้ลูกค้าผ่อนคลาย และติดตาม และตัดสินใจซื้อได้อย่างเร็วขึ้นครับ.
การเดินทางเข้าไปมีช่องทางการขายแบบ online นั้นถือว่าเป็นความจำเป็นของทุกๆคน ดังนั้นขอให้ทุกท่านโชคดี มีเครื่องมือที่ทีมงานของเราไปสืบค้น ค้นคว้าจากตำรา และเฝ้าติดตามเทรนด์ สถานการณ์ปัจจุบัน หากลยุทธ์ใหม่ๆ สดๆมาให้ทุกคนได้เอาไปใช้ได้จริงไม่ตกกระแสนะครับ
ข้อมูลดีๆจาก
www.successconciousness.com
www.kolsquare.com
留言