หนึ่งในวิถีชีวิตประจำวันของคนที่จะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน จนเรียกได้ว่าเป็นการใช้ชีวิตในยุค New Normal นั่นคือการทำงานแบบ Remote Working หรือการทำงานทางไกล ซึ่งต้องบอกว่ามีความยืดหยุ่นสูง สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ แล้วนั่งโต๊ะทำงานเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หลายๆ องค์กร อาจจะเพิ่งมาใช้ Remote Working หลัง Covid-19 ระบาด ขณะเดียวกันบางองค์กร โดยเฉพาะงานสตาร์ทอัพ ที่ทำงานแบบ Remote Working กันมานานแล้ว
สำหรับข้อดีของการทำงานแบบ Remote Working ที่โดดเด่นที่สุด นั่นคือ
ความยืดหยุ่น การโฟกัสกับงาน มากกว่าการแต่งตัวไปทำงาน โดยโพลสำรวจจากสื่อมวลชนและสถาบันการศึกษาทั่วโลก เรื่องการปรับรูปแบบการทำงานแบบ Remote Working ในช่วงการควบคุมการแพร่ระบาด Covid-19 ออกมาสอดคล้องกันว่า คนส่วนใหญ่ หรือคนประมาณ 3 ใน 4 บอกว่าชอบการทำงานแบบ Remote Working มากกว่า เพราะนอกจากเป็นการปรับรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดแล้ว ที่สำคัญการปรับการทำงานให้มีความยืดหยุ่น ช่วยเพิ่มการโฟกัสงานที่ผลลัพธ์มากกว่าการทำงานแบบเดิมๆ
อย่างเช่น Aerospace ที่ระบุถึงการสำรวจของบริษัท Censuswide ซึ่งเก็บตัวอย่างผลสำรวจ 1,000 ตัวอย่าง พบว่า บริษัทกว่า 47% ว่า มีแนวโน้มใช้ Remote Working Model อย่างถาวร ขณะที่ 17% มองว่าจะปรับการทำงานเป็น Hybrid โดยผสมระหว่างการทำงานแบบเข้าออฟฟิศ กับการทำงานแบบ Remote Working ทั้งนี้ถ้าถามถึงความพอใจของพนักงานบริษัท พบว่า 40% มองว่า การทำงานแบบ Remote Working ช่วยทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น จากการปรับการทำงานใหม่ ขณะที่ 36% มองว่าอยากกลับไปทำงานที่ออฟฟิศมากกว่า
อย่างไรก็ตามแม้ว่า Remote Working อาจจะเป็นโมเดลการทำงานที่ยืดหยุ่นก็จริง แต่อาจจะไม่ได้เหมาะกับงานทุกประเภท อาทิ งานทางการแพทย์ การศึกษาในเด็กเล็ก เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว แต่ละหน่วยงาน เมื่อต้องการ Remote Working ต้องสำรวจความพร้อมเกี่ยวกับ IT Solution และอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อม เพราะผลสำรวจของ Censuswide พบว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องลำดับต้นๆ ที่พนักงานกังวลมากที่สุด
ที่มา :
https://www.aero-mag.com/project-profession-sees-shift-to-a-permanent-remote-working-model/
https://allwork.space/2021/04/remote-working-requires-true-flexibility/
Comments